มาเก๊า – ฮ่องกง น่าจะเป็นชื่อจุดหมายปลายทางที่เพื่อนๆ นึกถึงเมื่ออยากไปเที่ยวต่างประเทศแบบใกล้ๆ และใช้เวลาเดินทางไม่นานกันใช่ไหมล่ะ แน่นอนว่าทั้งสองเมืองนี้นอกจากจะเป็นเมืองแห่งสีสันและโดดเด่นในด้านสถาปัตยกรรมที่สวยงามแล้ว เรื่องอาหารการกินก็เลิศรสดีเด็ดไม่แพ้กันเลย การันตีได้จากร้านต่างๆ ที่บลูแพลนเที่ยวไปตะลุยมาในทริปนี้ มีแต่ร้านอาหารที่ติด Michelin Guide ทั้งนั้น เรียกได้ว่าตลอดทริป 3 วัน 2 คืน แทบกลิ้งแทนเดินเลยจ้า อิอิ ≧▽≦//
แพลนคร่าวๆ ของทริปนี้ (1-3 พฤษภาคม 2562) เราจะตะลุยกินเที่ยวในมาเก๊าแบบ 2 วันเต็ม
แล้ววันสุดท้ายก็เที่ยวฮ่องกงแบบ One Day Trip ข้ามฝั่งไปไหว้พระใหญ่ที่นองปิงกัน…กัน…กันนน
ฟิ้ววววววว~ แค่เพียงเวลาผ่านไปสองชั่วโมงครึ่งบลูแพลนเที่ยวก็มาถึงมาเก๊าแล้ว ที่นี่เวลาจะเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ส่วนเรื่องสภาพอากาศก็เย็นสบายกำลังดีเลยประมาณ 22-23 องศา (อาจจะเจอฝนบ้าง พกร่มหรือเสื้อกันฝนมาเผื่อด้วยก็ดีนะ) อย่างที่บอกกันไว้ตอนต้นว่าทริปนี้บลูแพลนเที่ยวจะพาเพื่อนๆ ไปจัดเต็มกินเที่ยวแบบฟินๆ อินมาเก๊ากับแหล่งห้ามพลาดที่เมื่อมาถึงแล้วต้องไปเช็กอิน จะมีที่ไหนกันบ้างน้า? ตามมาดูและจดพิกัดไว้ตามรอยกันได้เล้ย… Let’s Go!
“กองทัพต้องเดินด้วยท้อง” เนอะๆ บลูแพลนเที่ยวก็เลยขอมาประเดิมที่แรกของทริปนี้ด้วยการเติมพลังกันก่อนกับ ร้าน Wong Kun Sio Kung ที่ Broadway Food Street ที่นี่เป็นสาขาที่สองส่วนสาขาแรกจะอยู่ที่ถนน Rua do Campo ซึ่งร้าน Wong Kun Sio Kung นี้ได้รับ Michelin Guide Macau มา 7 ปีซ้อนเลยนะ (ตั้งแต่ปี 2013-2019) //สุดยอดไปเลยย
และนี่ก็คือหน้าตาอาหารมื้อแรกในมาเก๊าค่าาา (เซ็ตนี้สำหรับ 2 ท่าน $300)
โดยในนี้มีเมนูที่เป็น Signature ของร้านด้วย เพื่อนๆ ลองทายดูสิว่าคือเมนูไหนเอ่ย?
เฉลย เฉลย … เมนู Signature ก็คือ บะหมี่ไข่กุ้งและโจ๊กปูจานนี้นี่เองงงง ซึ่งบะหมี่ของร้านนี้ความพิเศษอยู่ที่วิธีนวดแป้งที่เป็นแบบโบราณ โดยจะนวดด้วยไม้ไผ่เพื่อให้ได้เส้นที่เหนียวนุ่ม แล้วโรยหน้าด้วยไข่กุ้งอบแห้งแบบปรุงรสมาแล้ว เวลาทานก็ตักเส้นใส่ช้อนที่มีน้ำซุปสูตรพิเศษจากทางร้าน ทานเป็นคำๆ ไป อื้อหื้อออ! บอกเลยว่าฟินมากกก >0<// ที่เมืองไทยไม่มีนะจ๊ะ #ห้ามพลาดเชียวล่ะ
อ๊ะๆ ฟินบะหมี่ไข่กุ้งกันไปแล้วก็มาต่อกันที่โจ๊กปูสไตล์กวางตุ้ง~ ตะลุ้ง ตุ้ง ตุ้งกันจ้าาา ปูนี้มาเป็นตัวๆ บิ๊กเบิ้มเลยทีเดียว สดและหวานมากกกก บวกกับเนื้อโจ๊กที่เนียนละเอียดหอมอร่อย #ดี๊ดี สมกับความเป็นเมนูเด็ดของทางร้านมากเลย
ร้าน Wong Kun Sio Kung @ Broadway Food Street
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 00.00 น.
พิกัด : คลิก
อิ่มพุงกันแล้วก็ขอไปอิ่มบุญอุ่นใจกันสักหน่อยที่ A-Ma Cultural Village ตั้งอยู่บริเวณเขาโคโลอาน เป็นส่วนต่อขยายของวัดอาม่าที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออุทิศถวายให้กับอาม่า (เจ้าแม่แห่งท้องทะเล) ซึ่งที่นี่มีตำนานเล่าขานกันมาว่า “มีหญิงสาวนางหนึ่งได้ออกตามหาพี่ชายของตน เธอได้ขออาศัยคนอื่นๆ ขึ้นเรือไปด้วยแต่ไม่มีใครให้ไปด้วยเลย จนมีชายชราคนหนึ่งใจดีได้ให้เธออาศัยเรือไปด้วย และระหว่างนั่งเรือออกเดินทางก็ได้เกิดลมพายุกลางทะเล หญิงสาวนางนี้ก็เป็นผู้ช่วยบังคับหางเสือของเรือให้ผ่านพ้นพายุและนำเรือขึ้นฝั่งมาได้โดยปลอดภัย ที่ตรงนี้จึงเป็นแหล่งกำเนิดเกาะมาเก๊านั่นเอง”
เข้ามาด้านในก็จะพบกับเจ้าแม่ทับทิม (องค์กลาง)
ส่วนองค์ซ้ายมือ คือ เทพเจ้ากวนอู และองค์ขวามือ คือ เทพแห่งสติปัญญา (หมุ่นเซิง)
ที่นี่มีสถาปัตยกรรมแบบโบราณในราชวงศ์ถัง
สามารถสังเกตได้จากการสร้างด้วยการเข้าลิ่มแบบไม่มีน็อตและตะปู
ออกจาก A-Ma Cultural Village มาให้เดินขึ้นเนินเขาไปหน่อยนึงนะ จะเจอกับองค์ปั้นเจ้าแม่ทับทิม
องค์ใหญ่ที่มีขนาด 19.9 เมตร (สูงที่สุดในมาเก๊า) ตั้งเด่นสง่าอยู่บนเขา
และจากบนนี้เพื่อนๆ สามารถชมวิวสวยๆ ของบ้านเมืองบนเกาะโคโลอานได้แบบทั่วทิศเลยน้า
คนที่นี่จะมาขอพรเรื่องการค้าขายและการเดินทางให้ปลอดภัย
นิยมถวายสร้อยไข่มุกให้เจ้าแม่ทับทิมกันจ้า ^/|\^
A-Ma Cultural Village
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.30 – 17.00 น.
พิกัด : คลิก
จากเกาะโคโลอานสู่เกาะไทปา แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และถนนสายอาหารที่มีร้านอร่อยมารวมกันอย่างมากมาย ซึ่งที่นี่มี 1 ใน 8 สถานที่สำคัญในมาเก๊าด้วยนะ นั่นก็คือ พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา (Taipa House Museum) เป็นกลุ่มบ้านเก่าสไตล์โคโรเนียลโปรตุเกสสีเขียวพาสเทล 5 หลังเรียงยาวต่อกันอยู่ริมสระบัว
ทั้ง 5 หลังนี้สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1921 และเคยเป็นที่อยู่อาศัยของข้าราชการพลเรือนอาวุโสมาก่อน ด้วยความที่ได้รับการยกย่องให้เป็นอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรม ทางรัฐบาลเลยยังคงรักษารูปแบบการจัดตกแต่งไว้ให้เหมือนเดิมและปรับปรุงบ้านทั้ง 5 หลังให้เป็นพิพิธภัณฑ์เปิดให้บุคคลทั่วไปได้เข้าชมแบบไม่มีเสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลย จึงทำให้สถานที่นี้เป็นที่นิยมถ่ายพรีเวดดิ้งสำหรับชาวมาเก๊าและฮ่องกงมาก
รูปแบบตัวบ้านด้านนอกว่าน่ารักแล้วภายในบ้านก็จัดตกแต่งน่ารัก
บลูแพลนเที่ยวดูแล้วอยากจะเก็บแบบไปจัดห้องที่บ้านตามเลยแหละ ^—-^”
พิพิธภัณฑ์บ้านไทปา (Taipa House Museum)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดเวลา 10.00 – 18.00 น. (ปิดทุกวันจันทร์)
พิกัด : คลิก
จากพิพิธภัณฑ์บ้านไทปาก็เดินต่อไปอีกนิดยังหมู่บ้านไทปา (Taipa Village) โดยระหว่างทางเราจะเจอกับงานศิลปะบนผนังอาคารบ้านเรือนสีสันสวยงามอยู่มากมายให้ได้แวะถ่ายรูปได้เพลินๆ รื่นเริงใจ~~
ถึงแล้วๆ Taipa Village ลงจากบันไดนี้ไปก็เป็นดินแดนของกินสุดอร่อยแล้ววว
#ละลานตาไปหม๊ดด!
เรามาเริ่มกันที่เมนูแรกกันดีกว่า พุดดิ้งไข่เจ้าดัง ร้าน Tian Mo Fang Desert
นี่คือพุดดิ้งไข่ของจริงเสียงจริงเลยเพราะมันอยู่ในเปลือกไข่ค่ะ พุดดิ้งของร้านนี้เนื้อจะค่อนข้างแน่น ให้อารมณ์รสสัมผัสเหมือนชีสเค้กหน่อยๆ นอกจากรสออริจินอลแล้วยังมีรสชาเขียว รสช็อกโกแลต กาแฟอีกด้วย
พุดดิ้งไข่ออริจินอลราคาชิ้นละ $11
และนอกจากพุดดิ้งไข่ในร้านยังมีน้ำสมุนไพร น้ำลูกเดือยขายด้วย ราคาแก้วละ $18
(คนที่นี่จะชอบทานน้ำลูกเดือยมากกก)
ร้าน Tian Mo Fang Desert
เวลาเปิด-ปิด : เปิดเวลา 12.00 – 21.30 น. (ปิดทุกวันอังคาร)
พิกัด : คลิก
ต่อจากเมนูพุดดิ้งไข่ กระเพาะของหวานของเราก็ยังมีที่หลงเหลืออยู่ให้เติมเข้าไปได้อีก 555+ เราเลยไปต่อกันที่ ร้าน Mok Yee Kei เดินมานิดนึงก็เจอเลย ร้านนี้ได้รับ Michelin Guide ปี 2016-2017 ด้วยจ้า
ของเด็ดของที่นี่อยู่ที่เมนูไอศกรีมทุเรียน ขายดิบขายดีที่สุดในมาเก๊าเลยน้าา >0<//
แต่ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไม่กินทุเรียนก็มีรสชาติอื่นให้ลองลิ้มชิมรสนะจ๊ะ อย่างรสมะม่วง และ Sawdust pudding ขอบอกอร่อยทุกรส ราคาฝาแดงแบบพรีเมี่ยมอยู่ที่ $68 ฝาขาวธรรมดา $33 ราคาอาจจะแพงแรงหน่อย แต่ถ้ามาหลายคนก็ซื้อถ้วยเดียวแบ่งกันชิมก็ได้ #อร่อยคุ้มราคา
ร้าน Mok Yee Kei
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 23.00 น.
พิกัด : คลิก
เดินกิน เดินชิม ถ่ายรูปเล่นที่ Taipa Village จนสุขพุงเราก็วาร์ปมาที่ Studio City Macau กันจ้า เพราะบลูแพลนเที่ยวจะพาเพื่อนๆ ไปชมการแสดงโชว์ Elekron Stunt Show ค่ะ บอกเลยว่าเป็นการแสดงที่ตื่นเต้นและสุดเร้าใจมากกก >0<!
แต่การจะเข้าไปชมการแสดงด้านในก็จะมีข้อกำหนดหน่อยนึงน้า ว่าห้ามเอากล้องถ่ายรูปทุกชนิดเข้าไปในพื้นที่ชมการแสดงด้านในค่ะ สามารถฝากกล้องไว้ที่จุดรับฝากด้านนอกได้ ปลอดภัยสบายหายห่วง แต่ก็ไม่ต้องเสียใจไปนะคะว่าจะอดถ่ายภาพการแสดงเป็นที่ระลึกกลับมาเพราะที่นี่เขาอนุญาตให้ใช้กล้องมือถือถ่ายได้ค่ะ เย่!!! #ค่อยยังชั่วหน่อย
Elekron Stunt Show เป็นการแสดงผาดโผนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ ดอกไม้ไฟ และฟรีรันนิ่ง ที่จะทำให้ผู้เข้าชมรู้สึกตื่นตาตื่นใจตลอดเวลาเลย ดูเพลินมาก สนุกประทับใจ มีโอกาสก็อยากให้มาลองชมการแสดงนี้กันนะคะเป็นอีกประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดี
Elekron Stunt Show @ Studio City Macau
สามารถดูรายละเอียดและซื้อตั๋วเข้าชมได้ที่นี่ค่ะ : http://www.elekronshow.com/en/index.html (แต่ละวันรอบเวลาการแสดงจะไม่เหมือนกันและราคาที่นั่งก็จะแตกต่างกันไปในแต่ละตำแหน่ง)
พิกัด : คลิก
ดูโชว์การแสดงจบออกมาใครยังอารมณ์ค้างติดใจในรถสวยๆ ก็มานั่งคาเฟ่ร้านนี้ได้นะ ร้านตกแต่งให้ลูกค้านั่งทานในรถกันได้เลย ถ่ายรูปสวย เก๋ด้วยยยย 🙂
ออกจาก Studio City Macau มาแค่เพียงข้ามถนนเราก็เจอหอไอเฟลเลยค่า “เฮ้ย! หอไอเฟลมันอยู่ที่ปารีสนิ ที่นี่มีด้วยหรอ?” ใช่แล้วค่ะ มาเก๊าก็มีหอไอเฟล อยู่ที่ The Parisian Macau นั่นเอง ช่วงกลางคืนจะเปิดไฟประดับหลากหลายสีสวยงามมากเลย 。◕‿◕。
ชมวิวหอไอเฟลอินมาเก๊าจุใจแล้วเราก็จะขึ้นไปชมวิวยามค่ำคืนของ Cotai Strip บนหอไอเฟลกันต่อ เข้าไปที่โรงแรม The Parisian Macau ได้เลย ภายในโรงแรมหรูหราตระการตาสุดๆ
สามารถไปซื้อตั๋วขึ้นชมวิวชั้น 7 และ 37 ของหอไอเฟล ได้ที่ร้าน Eiffel Tower Souvenir Shop หมายเลข 550 ราคา $108 โดยทางขึ้นไปชมวิวจะอยู่ที่ชั้น 5 ของโรงแรม The Parisian Macau ค่ะ และนี่ก็คือวิวจากชั้น 37 ค่ะ สวยงามอลังการ สมกับความเป็นเมืองแห่งแสงสี ความบันเทิงเลยเนอะ
Eiffel Tower @ The Parisian Macau
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 23.00 น.
พิกัด : คลิก
อิ่มวิวความศิวิไลซ์ของ Cotai Strip กันไปแล้วก็ขอไปอิ่มท้องกับมื้อค่ำสุดพิเศษด้วยร้านอาหารแมกานีส ร้านที่มีการผสมผสานสไตล์อาหารระหว่างจีนกับโปรตุเกสค่ะ กับร้านนี้เลย ร้าน La Famiglia อยู่ในย่าน Old Taipa Village แอบบอกเลยว่ามื้อนี้จัดเต็มแน่นพุงมากกก #เพราะเราจัดมาแบบเต็มโต๊ะ 555+
มาเริ่มที่จานแรกกัน “Sapateira” เนื้อปูผสมกับครีมปรุงรสด้วยเครื่องเทศ จัดใส่ไว้ในกระดองปูทานคู่กับขนมปังอบกรอบและมะเขือเทศแห้ง เป็นเมนูเปิดโต๊ะที่อร่อยมาก บลูแพลนเที่ยวติดใจเมนูนี้สุดๆ เลยค่ะ ราคาจานนี้ $298
จานถัดมา Fried Shims with Butter Garlic Sauce หรือ กุ้งผัดเนยกระเทียม เสน่ห์ของจานนี้จะอยู่ที่ความหอมของไวน์ขาวและเครื่องเทศที่ปรุงรสค่ะ รสชาติหวาน มัน เค็ม ลงตัวกำลังดีเลย จานนี้ราคา $148
Sauteed Clams with Wine Sauce หรือ หอยลายในซอสไวน์ขาว จานนี้เป็นเมนูทะเลที่ทุกร้านจะต้องมี แต่ความอร่อยนั้นก็จะมาวัดกันที่ตัวซอสไวน์ขาวค่ะ ราคาก็ $158
มาถึงเมนูทานเล่น Sortidos de Fritos Macaenses แบบจัดเต็ม 6 อย่างอย่างละ 3 ชิ้น จะเป็นพวกของทอดหมดเลยนะ รสชาติก็มีหลากหลาย แบบเผ็ด แบบชีส หมูหรือเนื้ออยู่ในเซ็ตนี้หมด ราคา $208
ต่อมาเป็นอาหารจานหลักที่คนไทยน่าจะคุ้นเคย Africa Chicken เป็นเมนูไก่ย่างราดซอสสูตรพิเศษ ทานง่าย อร่อยถูกปาก ทุกร้านอาหารแมกานีสจะต้องมีเมนูนี้ ราคาก็ $168
อาหารจานเด็ดของโปรตุเกสแบบอิ่มท้องอย่างแน่นอนต้องนี้เลย Duck Rice ข้าวสวยอบในชามหม้อดิน ด้านล่างเป็นเนื้อเป็ดปรุงรส ด้านบนเป็นไส้กรอกโปรตุเกส จานนี้ $138
เมนูขึ้นชื่ออีกจานนึงของอาหารโปรตุเกสที่ไม่ควรพลาดคือ Codfish at lagareiro ปลาคอดย่างในน้ำมันมะกอก เนื้อปลาชิ้นใหญ่นำเข้ามาจากโปรตุเกส ก่อนนำมาปรุงจะต้องนำไปแช่ลงในน้ำนมเพื่อลดความเค็ม แล้วจึงนำไปย่างหรืออบเพื่อความหอม ราคาจานนี้อยู่ที่ $238
จานสุดท้ายของเราแล้ว Portuguese Suckling Pig หรือ หมูหันนั่นเอง เมนูนี้จะมีให้เลือกตั้งแต่ขนาด ¼ ½ และแบบทั้งตัว รอบนี้เราสั่งแบบขนาด ¼ ราคา $298 อร่อยหนังกรอบเนื้อนุ่ม ใช้ได้ๆ คุ้มกับราคาเลย
ปิดท้ายมื้อนี้อย่างสมบูรณ์แบบด้วยของหวาน Serradura (Sawdust Pudding) เป็นขนมโปรตุเกส ทำจากครีมสดสลับชั้นด้วยผงบิสกิตป่น มีรสหวานนุ่มๆ เบาๆ อื้มมม! อร่อย ฟิน ราคาถ้วยละ $48
อู้วววว! >00<” จบมื้อนี้เสร็จบลูแพลนเที่ยวแทบกลิ้งออกจากร้านเลย ฮ่าๆ จัดเต็ม แน่นๆ ทุกเมนู อร่อยทุกจาน เป็นอีกมื้อที่น่าประทับใจมากเลย แนะนำเพื่อนๆ เลยว่าต้องมาลองให้ได้นะ
ร้าน La Famiglia
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 12.00 – 23.00 น.
พิกัด : คลิก
พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน เพื่อนๆ ก็น่าจะเป็นกันใช่ไหม อิอิ ^__^ ป่ะ! เรากลับไปชาร์ทแบตร่างกายเตรียมลุยวันพรุ่งนี้ต่อดีกว่า ทริปนี้เราจะพักกันที่นี่ โรงแรม The Landmark Macau ทั้ง 2 คืนเลย
โรงแรม The Landmark Macau เป็นโรงแรม 4 ดาว ที่ราคาไม่ค่อยแรง อยู่ทางฝั่งมาเก๊า ห่างจาก Senado Square แค่เพียง 15 นาทีเอง ราคาต่อคืนจะเริ่มต้นที่ประมาณ 3,XXX บาท #หรูหราและกว้างมากกกกก เตียงนุ่ม นอนหลับสบาย 🙂
โรงแรม The Landmark Macau
พิกัด : คลิก
เช้านี้ก่อนจะตะลุยเที่ยวย่านเมืองเก่าฝั่งมาเก๊าเราก็มาฝากท้องกันที่ ร้าน Charming Gourmet Cafe กันค่ะ ออกจากโรงแรมที่เราพักเดินมาอีกนิดก็ถึงเลย เพราะร้านอยู่ด้านหลังโรงแรมนี่เอง
ร้านนี้เป็นร้านยอดนิยมของคนท้องถิ่น เพราะราคาไม่แพง และมีหลายสาขา ชุดอาหารเช้าเริ่มต้นที่ $25 ส่วนอาหารประเภทจานเดี่ยวพวกข้าวและบะหมี่จะเริ่มต้นที่ $58
บะหมี่พอร์คชอปชิ้นโตๆ
ข้าวหน้าไก่ย่างและห่านย่าง
หากยังเช้าอยู่ทานแซนวิชเบาๆ ก็ได้น้า
ชานมเย็นและชามะนาว #อร่อยสดชื่นนนน
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Macau Museum) ตั้งอยู่ที่เดียวกับป้อมปราการปืนใหญ่มองเตและอยู่ข้างๆ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) ที่นี่สมัยก่อนเป็นที่ตั้งฐานทัพทหารและสำนักงานกรมอุตุวิทยา ต่อมาในปี ค.ศ. 1998 ทางรัฐบาลได้ปรับปรุงและเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ขึ้นเพื่อให้เป็นสถานที่เก็บรวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์และวิถีชีวิตของคนมาเก๊าตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งในปี ค.ศ. 2005 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็ถูกขึ้นทะเบียนมรดกโลกทางวัฒนธรรมของยูเนสโกในที่สุด
ภายในพิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 3 ชั้น
ชั้นที่ 1 : Macau’s Origins เป็นชั้นที่จัดแสดงประวัติศาสตร์ตั้งแต่จุดกำเนิดของมาเก๊าเลย และการพัฒนาวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากการค้าขายระหว่างชาวจีนกับชาวโปรตุเกส
ชั้นที่ 2 : Crafts & Traditions of Macau เป็นชั้นที่จัดแสดงงานฝีมือและขนบธรรมเนียมประเพณีของมาเก๊าตั้งแต่สมัยดั้งเดิม
ชั้นที่ 3 : Contemporary Macau เป็นชั้นที่จัดแสดงวิถีชีวิตของชาวมาเก๊าในยุคร่วมสมัยแบบชีวิตคนเมือง จะเน้นไปทางวรรณกรรมและศิลปะ
เดินครบ 3 ชั้นบลูแพลนเที่ยวก็ออกมาเดินชมวิวเมืองมาเก๊ารอบทิศกันที่ชั้นดาดฟ้า จุดนี้เป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวที่สวยมากแห่งหนึ่งในมาเก๊าเลยน้าาาา
ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์มาเก๊าคนละ $15 เองค่ะ #ถูกมากกกก ถ้าเพื่อนๆ มาเที่ยวโบสถ์เซนต์ปอลแล้วก็อย่าลืมแวะเข้ามาเที่ยวที่นี่ได้ นอกจากได้รู้ประวัติความเป็นมาของมาเก๊าแล้วก็ยังได้มุมถ่ายรูปสวยๆ ในพิพิธภัณฑ์นี้กลับไปอีกเพียบเลย ^—^”
พิพิธภัณฑ์มาเก๊า (Macau Museum)
เวลาเปิด-ปิด : เวลา 10.00 – 18.00 น. ปิดทุกวันจันทร์
พิกัด : คลิก
“หากมาเยือนมาเก๊า แล้วไม่ได้มาเช็กอินที่นี่ ถือว่ามาไม่ถึงมาเก๊านะ!”
ที่นี่ที่พูดถึงก็คือ ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s) นั่นเอง เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองมาเก๊าเลยน้าาา จึงทำให้ไม่ว่าจะมาเวลาไหนก็จะพบกับนักท่องเที่ยวมากมายมหาศาลเลย
โบสถ์เซนต์ปอลถูกสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1580 และได้เกิดเหตุไฟไหม้มาทั้งหมด 3 ครั้ง จึงทำให้หลงเหลือเพียงแค่กำแพงทางเข้าโบสถ์ด้านหน้าเท่านั้น ต่อมาในปีค.ศ. 1991 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมกำแพงโบสถ์ครั้งใหญ่ขึ้นจนสวยงามดังที่เราเห็นมาถึงปัจจุบันนี้แหละ
ซากประตูโบสถ์เซนต์ปอล (Ruins of St. Paul’s)
เวลาเปิด-ปิด : เปิด 24 ชั่วโมง
พิกัด : คลิก
ด้านหลังซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลจะมี ศาลเจ้านาจา (Na Tcha Temple) เป็นศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังในเรื่องการมากราบไหว้ขอลูกหลานไว้สืบสกุล และเป็นหนึ่งในมรดกโลกของมาเก๊าด้วยนะ
ด้านข้างของซากประตูโบสถ์เซนต์ปอลมีซอยถนนเล็กๆ ชื่อ Portuguese Street ที่ตามผนังร้านค้าหรือบ้านเรือนจะทาสีสันสดใสและวาดลวดลายสวยงาม เป็นอีกจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมมาแชะภาพเก๋ๆ กลับไปอวดเพื่อนๆ กัน
สุดปลายถนนเราก็เดินมุ่งหน้าต่อไปที่ Senado Square จตุรัสใจกลางเมืองมาเก๊าที่รายล้อมไปด้วยตึกรามบ้านช่องสไตล์ยุโรป ย่านนี้มีร้านอาหาร ขนม ของฝากอยู่มากมายค่ะ บอกเลยว่า 3 ร้านต่อจากนี้ที่บลูแพลนเที่ยวจะพาไปตะลุยกิน เด็ดๆ ทั้งนั้นเพราะพ่วงด้วยการการันตีจาก Michelin Guide Macau ถ้าพุงน้อยๆ ของเพื่อนๆ พร้อมแล้วก็ตามมาได้เล้ย!
ร้านแรกเปิดด้วย ซาลาเปาอบโอ่ง จากร้าน Dijun Taiwan Pepper Cake เป็นร้านที่โด่งดังมาจากไต้หวัน ร้านนี้ได้ Michelin Guide ด้วยนะ
ความพิเศษของซาลาเปาที่นี่ คือ เป็นซาลาเปาไส้หมูสับพริกไทยต้นหอม มีตัวแป้งคล้ายแป้งพายผสมแป้งซาลาเปา และนำมาทำให้สุกด้วยการอบในโอ่งประมาณ 10 นาที
ซาลาเปาร้อนๆ เสิร์ฟมาแบบกรอบนอกฉ่ำในรสชาติเผ็ดร้อน มีกลิ่นถ่านหอมๆ ที่สำคัญไส้แน่นมากกกกก กัดคำแรกก็เจอไส้เลย >3< สนนราคาอยู่ที่ลูกละ $19
ร้าน Dijun Taiwan Pepper Cake
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 12.00 – 20.00 น.
พิกัด : คลิก
ร้านต่อมาเป็นร้านขนมหวาน มีชื่อว่า “ขนมนมตุ๋น” ร้าน Leitaria I Son (Yee Shun Milk Company) ร้านนี้ได้ Michelin Guide 2019 ด้วยนะคะ และเป็นร้านนมตุ๋นที่ขายดีที่สุดในมาเก๊าเลยด้วย
นมตุ๋นเป็นหนึ่งในขนมหวานสไตล์กวางตุ้งที่คนมาเก๊าและฮ่องกงนิยมกินกันมากที่สุด ทำมาจากนมวัวผสมไข่ขาวแล้วนำไปนึ่ง สามารถกินได้ทั้งแบบร้อนและเย็น
รสดั้งเดิม คือ สีขาว ถ้วยละ $32 (เมนูยอดนิยม) หากเพิ่มถั่วแดงด้วยจะราคาถ้วยละ $35 ส่วนถ้วยสีเหลืองนั่นเป็นนมตุ๋นไข่แดง ราคาถ้วยละ $32
รสสัมผัสจะนุ่ม เนียน หอมหวาน คล้ายๆ พุดดิ้งเลย #อร่อยยยยยยย
ร้าน Leitaria I Son (Yee Shun Milk Company)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 09.00 – 22.30 น.
พิกัด : คลิก
หม่ำๆ ของหวานให้จุใจแบบต่อเนื่องกันต่อด้วยไอศกรีมเจลาโต้สไตล์ญี่ปุ่น #ชื่นใจ๊ชื่นใจ ที่ร้าน KIKA และร้านนี้ก็ได้ Michelin Guide อีกเช่นเคย
ในร้านมีไอศกรีมให้เลือกหลากรสชาติ ขอพนักงานชิมๆ แล้วเลือกที่ถูกใจได้เลย สีสันดูน่ารักน่าอร่อยจังเนอะ >0<!
และแล้วก็ตัดสินใจได้รสชาติซากุระและชาเขียวมัทฉะมาค่ะ ซากุระหวานหอม ชาเขียวเข้มข้น #ดี๊ดี ราคา $45
ร้าน KIKA
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 11.00 – 22.00 น.
พิกัด : คลิก
เหมือนพุงของเราเริ่มแน่นๆ แล้วแหละ บลูแพลนเที่ยวก็เลยหนีไปนั่งเรือชมวิวมาเก๊าเล่นให้อาหารย่อยกันดีกว่ากับ Macau Cruise ที่เป็นบริการใหม่ล่าสุด เพิ่งเปิดมาได้แค่ 3 เดือนเองนะ #อู้ววววว ตื่นเต้นๆ
เรามาขึ้นเรือที่ Taipa Ferry Terminal แล้วไปลงที่ Coloane Ferry Terminal
สปอยล์
ตารางรอบการเดินเรือ
จาก Taipa Ferry Terminal ไปลง Coloane Ferry Terminal
วันจันทร์ – ศุกร์ : 13.00 น. / 15.00 น. / 17.00 น. (รอบสุดท้าย)
วันเสาร์ – อาทิตย์ : 11.00 น. / 13.00 น. / 15.00 น. / 17.00 น. (รอบสุดท้าย)
จาก Coloane Ferry Terminal ไปลง Taipa Ferry Terminal
วันจันทร์ – ศุกร์ : 14.00 น. / 16.00 น. / 18.00 น. (รอบสุดท้าย)
วันเสาร์ – อาทิตย์ : 12.00 น. / 14.00 น. / 16.00 น. / 18.00 น. (รอบสุดท้าย)
ช่องทางการจองเรือ Macau Cruise https://www.macaucruise.com/
ค่านั่งเรือคนละ $100
เบาะนั่งลายน่ารักมากกกก เป็นลายเดียวกับตั๋วเรือเลย ซึ่งแต่ละลายเป็นสถานที่เที่ยวของมาเก๊าทั้งหมด
ใช้เวลานั่งเรือชมวิวประมาณ 45 นาที นี่ๆ เรือแล่นผ่าน Macau Tower ด้วยนะ
นั่งชมวิวถ่ายรูปเพลินๆ เราก็มาถึง Coloane Ferry Terminal แล้ว เจ้าเรือที่แล่นพาเรามาส่งถึงจุดหมายก็ลำนี้เลย เมื่อกี้ก่อนขึ้นลืมถ่ายเลยถ่ายต้องลงจากเรือมาแล้วกัน อิอิ
จาก Coloane Ferry Terminal เดินเรื่อยๆ แค่เพียง 5 นาทีเราก็จะเจอกับร้าน Lord Stow’s Bakery ร้านทาร์ตไข่เจ้าดังและเป็นเจ้าแรกแห่งมาเก๊าเลยน้า ซึ่งแน่นอนว่าร้านนี้ก้ต้องได้ Michelin Guide อีกแล้ว
อบสดๆ ร้อนๆ ออกมาจากเตาเลยจ้า ยิ่งทานตอนนี้เลยฟินมากกกกก บลูแพลนเที่ยวซื้อปุ๊บยืนทานอยู่หน้าร้านเลย ฮ่าๆ ราคาชิ้นละ $10 แบบเป็นกล่อง 6 ชิ้น ราคากล่องละ $55 / กล่อง 12 ชิ้น ราคากล่องละ $110 หิ้วกลับบ้านเป็นของฝากรับรองติดใจทุกคน!
ร้าน Lord Stow’s Bakery
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 07.00 – 22.00 น.
พิกัด : คลิก
อีกหนึ่งสถานทีท่องเที่ยวสำคัญที่เมื่อมาเกาะโคโลอานแล้วต้องแวะ ก็คือ โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวีย (St. Francis Savier Church) หรือโบสถ์แห่งโคโลอาน
โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียสร้างขึ้นในปีค.ศ. 1928 เพื่อรำลึกถึงนักบุญฟรานซิส ซาเวียร์ (Francis Xavier)โดยออกแบบตามสถาปัตยกรรมแบบบารอก (Baroque) ตัวอาคารมีสีเหลืองสลับขาว หน้าต่างเป็นทรงโค้งและมีหอระฆังอยู่ด้านบน สวยงามและเป็นเอกลักษณ์มากเลย
โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวีย (St. Francis Savier Church)
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน เวลา 10.00 – 20.00 น.
พิกัด : คลิก
มื้อค่ำวันนี้ขอฝากท้องไว้ที่ Noodle & Congee Corner : Grand Lisboa ชั้น 2 เราจะไปกินเมนูขึ้นชื่อ “Yi Gen Mian” บะหมี่เส้นเดียวที่ไม่มีการตัดกันจ้า
บะหมี่เส้นเดียว คือ บะหมี่เส้นขาวชามทางขวามือของภาพ เป็นบะหมี่เส้นสด นวดแป้งและลวกกันที่ในร้านเลยจ้า เส้นเหนียวนุ่มกำลังดี เราสามารถเลือกน้ำซุป 1 ชนิดจาก 3 ชนิด และเลือกเครื่องทานคู่ 2 อย่างจากประมาณเกือบ 10 อย่างได้เลยค่ะ
โอ้โห! และนี่ก็คือความยาวของเส้นบะหมี่ ยาวถึง 10 เมตรเชียวน้าา #ยาวจริงอะไรจริง
นอกจากบะหมี่ที่ขึ้นชื่อเมนูอื่นๆ ก็มี ไม่ว่าจะเป็นหมูกรอบ หมูแดง ติ่มซ่ำ จัดเต็มอร่อยทุกจานแทบคลานออกจากร้านเลยจ้า
Noodle & Congee Corner : Grand Lisboa ชั้น 2
เวลาเปิด-ปิด : เปิดทุกวัน 24 ชั่วโมง
พิกัด : คลิก
จบจากมื้อค่ำก็มาเดินเล่นชมวิวเมืองแห่งแสงสีก่อนกลับเข้าที่พักสักหน่อย คึกครื้นน่าดูไม่ต้องกลัวเหงา
One Day Trip @ Hongkong
ขึ้นกระเช้านองปิง (Ngong Ping 360) ไปไหว้พระใหญ่กัน!
วันนี้บลูแพลนเที่ยวจะพาเพื่อนๆ ข้ามไปเที่ยวฮ่องกงแบบ One Day Trip ก่อนกลับบ้านกันจ้า โดยเราจะนั่งรถบัสข้ามสะพาน Hongkong – Zhuhai – Macau Bridge (HZMB) สะพานนี้ได้ชื่อว่าเป็นสะพานข้ามทะเลที่ยาวที่สุดในโลกเลยนะ เพิ่งเปิดให้ใช้แบบเป็นทางการเมื่อเดือนตุลาคม 2561 ปีที่แล้วนี่เอง อู้ว! ใหม่สุดๆ วิธีการก็ไม่ยุ่งยากแค่เพียงซื้อตั๋ว > เข้าตรวจตม. > เดินไปยังจุดขึ้นรถบัสได้เลยค่ะ ค่าเดินทางเที่ยวละ $65 เท่านั้นเอง
รถบัสคันนี้แหละจะพาเราไปยังฮ่องกง ฮูเล่!
รถจะออกทุกๆ 15 นาที หรือถ้าหากเต็มคันก็จะออกเลย
นั่งสบายๆ ชิลล์ๆ ไม่มีติดไฟแดง ชมวิวข้างทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 45 นาทีก็มาถึงฮ่องกงแล้ว
ระหว่างทางมีช่วงจังหวะที่เราได้มุดอุโมงค์ใต้ทะเลด้วยน้าา หู้วว!
และที่เห็นว่าทำไมรถบนถนนน้อยๆ ก็เพราะว่าสะพานแห่งนี้รถบุคคลทั่วไปไม่สามารถใช้ได้
ใช้ได้แต่รถสาธารณะที่ขึ้นทะเบียนแล้วเท่านั้นจ้า
จุดที่รถบัสมาส่งเราอยู่ติดกับสนามบินนานาชาติฮ่องกงเลย แต่ก่อนที่เราจะเดินทางกันไปต่อก็ต้องผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองของฮ่องกงก่อน แล้วถึงออกมาขึ้นรถบัสสาย B6 ราคา $7 เพื่อไปลงที่สถานีตุงชุง (Tung Chung)
ถึงสถานี Tung Chung แล้ววว
ป่ะ! เราไปขึ้นกระเช้านองปิง (Ngong Ping 360) กัน
สปอยล์
กระเช้านองปิง (Ngong Ping 360) มีให้เลือกนั่งอยู่ 3 แบบด้วยกันนะ คือ
1. กระเช้ามาตรฐาน (Standard Cabin)
กระเช้าลอยฟ้าแบบธรรมดา ที่พื้นของกระเช้าจะไม่ใช่กระจกใส แบบนี้เหมาะมากกับคนกลัวความสูงน้า ราคาก็จะถูกที่สุด ไป-กลับ $235
2. กระเช้าคริสตัล (Crystal Cabin)
กระเช้าลอยฟ้าแบบพื้นกระจกใส ความพิเศษของกระเช้าแบบนี้ก็คือเราจะได้เห็นวิวด้านล่างด้วยค่ะ ความรู้สึกเหมือนเรากำลังลองเป็นเจ้านกน้อยบินอยู่บนฟ้าแล้วมองลงมายังทะเล น้ำตก ยอดต้นไม้บนภูเขา เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจและตื่นเต้นไปอีกแบบค่ะ ราคาของกระเช้าคริสตัลไป-กลับ $315
3. กระเช้าส่วนตัว (Private Cabin)
สำหรับคนที่อยากมีพื้นที่ชมวิวส่วนตัวกลางอากาศ และขึ้นกระเช้าได้ก่อนใครโดยไม่ต้องซื้อตั๋วแบบรอต่อคิว ราคาสูงหน่อยสมกับความ Exclusive จะมีเฉพาะตั๋วแบบไปกลับเท่านั้นนะคะ Standard Cabin ราคา $3,800 ต่อกระเช้า ส่วน Crystal Cabin ราคา $4,500 ต่อกระเช้า
ช่องทางการจองกระเช้านองปิง (Ngong Ping 360)
https://www.np360.com.hk/th/cable-car
เย่! กระเช้ามาแล้ววว
กระเช้าแบบ Standard และ Crystal จะสลับกันมา
กระเช้านองปิง (Ngong Ping 360) จะพาเราขึ้นไปยังยอดเขาของเกาะลันตาเพื่อไปไหว้พระใหญ่กัน
โดยตลอดเส้นทางที่ยาวกว่า 5.7 กิโลเมตรนี้ เราจะได้ตื่นเต้นไปกับวิวมุมกว้าง 360 องศาของสนามบินนานาชาติฮ่องกง สะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊า เมืองและอ่าวตุงชุง ความเขียวขจีของภูเขาต้นไม้ในอุทยานแห่งชาติลันเตาเหนือ รวมถึงหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลจีนใต้อันไกลโพ้น ทำให้ตลอดระยะเวลา 25 นาทีมีแต่ความเพลิดเพลินผ่อนคลาย (-^〇^-)
นี่คือสะพานฮ่องกง-จูไห่-มาเก๊าที่เรานั่งรถบัสข้ามมาเมื่อกี้
แหม! น่าเสียดาย >//<’’ วันที่เราไปฝนตกลงมาหน่อยนึง ท้องฟ้าเลยไม่ค่อยแจ่มใส
ไม่งั้นวิวที่เห็นจะปังอลังกว่านี้อีกนะ แต่ก็มีข้อดีตรงที่ไม่ร้อนนี่แหละ อิอิ
เห็นพระใหญ่แสดงว่าใกล้จะถึงสถานีนองปิงแล้วนั่นเอง
ถึงแล้วๆ ลงกระเช้ามาปุ๊บก็อยู่ในหมู่บ้านนองปิง (Ngong Ping Village) เลย
สวัสดีหมู่บ้านนองปิง…
ที่นี่สองข้างทางจะเป็นร้านค้า ร้านอาหารต่างๆ อยู่เรียงรายยาวไปจนตลอดทางเดินขึ้นไหว้พระใหญ่
ตัวการ์ตูนคุณลุงเสื้อเหลืองนี่เป็นตัวการ์ตูนดังประจำฮ่องกงเลยนะ
ก่อนจะใช้พลังในการเดินขึ้นบันไดไปไหว้พระใหญ่ บลูแพลนเที่ยวขอแวะทานข้าวกลางวันแป๊บนึงน้า
ที่ร้าน Ngong Ping Garden Restaurant
ร้านนี้คนไทยนิยมมาทานเพราะเป็นเมนูกวางตุ้งที่มีรสชาติถูกปากคนไทย
มื้อกลางวันที่ร้านมีจัดเซ็ตให้เลือกเยอะแยะเลย
ถ้ามากับเดอะแก๊งก็สั่งคนละเซ็ตแล้วแบ่งกันชิมจะได้ลองหลายๆ เมนูเนอะ :’)
ราคาเซ็ตละประมาณ 400 กว่าบาทไทย
สปอยล์
โดยราคานี้จะเป็นราคาสำหรับแขกที่จองชุดอาหารล่วงหน้านะคะ
สามารถจองได้กับตัวแทนท่องเที่ยว Hong Kong Fan Club
https://www.hongkongfanclub.com/
#แนะนำเลยว่าให้ซื้อล่วงหน้าเพื่อความสะดวกสบายค่ะ
มาดูกันที่เซ็ตแรก… บะหมี่เกี๊ยวกุ้งฮ่องกงเสิร์ฟมาพร้อมกับชานมฮ่องกง
เซ็ตซิวเหมย แพลทเตอร์ (บาร์บีคิวหมู&ไก่) เสิร์ฟพร้อมข้าวและชาจีน
เซ็ตกุ้งผัดไข่ เสิร์ฟพร้อมข้าวและชาจีน
เซ็ตหมูเปรี้ยวหวานสไตล์ฮ่องกง เสิร์ฟพร้อมข้าวและชาจีน
เซ็ตหมูบะช่อปลาอินทรีเค็ม เสิร์ฟพร้อมข้าวและชาจีน
ชุดติ่มซำ เสิร์ฟพร้อมผัดหมี่และชาจีน
แรงกายพร้อม…แรงใจก็พร้อมแล้ว ไปค่ะ! เราไปไหว้พระใหญ่กัน
ที่เห็นข้างหน้านี้เป็นซุ้มประตู Po Lin Monastery เป็นเหมือนประตูทางเข้าหลักก่อนที่จะไปยังพระใหญ่
องค์พระใหญ่ (The Big Buddha) หรือพระพุทธรูปเทียนถาน เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์อันดับต้นๆ ของฮ่องกงและเป็นพระพุทธรูปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของโลกที่อยู่นอกอาคาร ตั้งอยู่บนยอดเขาสูงเด่นเป็นสง่า มีความสูง 34 เมตร สร้างจากทองสัมฤทธิ์ ใต้ฐานดอกบัวเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศศรีลังกา จากพื้นด้านล่างไปจนถึงฐานพระใหญ่สูง 268 ขั้นบันได
ขึ้นมาด้านบนแล้วหายเหนื่อยเลย ลมเย็นบรรยากาศดีเห็นวิวสวยงามของเกาะลันตาได้รอบทิศ
และเห็นวัดโปลินหนึ่งในวัดที่เก่าแก่ที่สุดของฮ่องกงด้วย
ลงมาจากพระใหญ่ทางขวามือจะมีทางไปเสาไม้สัจธรรม (Wisdom Path) หากพอมีเวลาก็อยากให้ลองไปเช็กอินที่นี่กันดู สองข้างทางจะพบกับความร่มรื่น #วันหนึ่งฉันเดินเข้าป่า สุดๆ ใช้เวลาเดินเข้าไปประมาณ 15 นาที
พอมาถึงเราก็จะพบกับเสาไม้ขนาดใหญ่ที่แต่ละท่อนมีความสูง 8 – 10 เมตร และกว้างประมาณ 1 เมตร ปักเรียงกันเป็นแถวอยู่ด้วยกัน 38 ต้น ซึ่งหากเรามองมาจากมุมด้านบนเราจะมองเห็นเป็นเครื่องหมาย “∞ (อินฟินิตี้)” มีความหมายถึงความไม่สิ้นสุด เสาแต่ละต้นมีแกะสลักจารึกอักษรจีนที่เป็นบทสวดของนิกายมหายาน
เดินขึ้นมาชมวิวภูเขาด้านบนนี้สดชื่นที่ซู้ดดดด สูดอากาศเก็บไว้ไปเต็มปอดเลย
ถ้าโชคดีแบบบลูแพลนเที่ยวก็จะได้เจอน้องวัวที่ชาวบ้านแถวนี้เลี้ยงออกมาเดินหม่ำหญ้าด้วย
ขากลับก็ขึ้นกระเช้ากลับไปที่สถานี Tung Chung เหมือนเดิม แล้วก็นั่งรถบัส B6 ไปลง HZMB Port
ขึ้นรถบัสกลับฝั่งมาเก๊า เป็นอันจบ One Day Trip อินฮ่องกงเรียบร้อย ฮูเล่~
ก่อนขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน เรายังพอมีเวลาเหลืออยู่เลยกลับมาที่ย่าน Taipa Village เดินช้อปปิ้งซื้อขนม
ของฝาก แล้วจัดอาหารจีนมาเก๊าอีกมื้อเป็นที่ระลึกสักหน่อยที่ ร้าน Tam Chai Yu Chun
ฟาดเรียบหมดเกลี้ยงอีกเช่นเคย
และก็ไม่ลืมที่จะแวะไปปิดท้ายทริปนี้ด้วยชานมไข่มุกสุดฮิตอย่าง Tiger Sugar
อร่อย ฟิน ปิดทริปนี้ไปได้อย่างสวยงามมมมมม เย่! *≧∇≦*
ว๊าา … เวลาแห่งความสุขช่างผ่านไปไวเสียเหลือเกิน แต่ก็เป็น 3 วัน 2 คืนที่เต็มอิ่มทั้งใจและกายแบบสุดๆ เลยนะคะ ที่สำคัญทริปนี้ก็เป็นครั้งแรกที่บลูแพลนเที่ยวได้มาเยือนมาเก๊า-ฮ่องกงด้วย ชักจะติดใจซะแล้วสิ มันต้องมีครั้งต่อๆ ไปอีกอย่างแน่นอน แล้วพบกันใหม่นะ ◕‿◕✿~
ใบประกอบธุรกิจนำเที่ยว : 11/06414
9/13 ซอย ลาดปลาเค้า 79 ถนนลาดปลาเค้า
แขวงอนุสาวรีย์ เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร10220
โทร. (66) 02 197 9939
E-mail : info@leonova.com